บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 30 ตุลาคม 2566

Create at 6 months ago (Oct 30, 2023 11:05)

ฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนแนวโน้มถูกจำกัด จากความกังวลอัตราผลตอบแทน

ตลาดสัญญาซื้อขายดัชนีหุ้นล่วงหน้าของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายช่วงเย็นวันอาทิตย์ หลังจากที่ดัชนีหลักปิดตัวสิ้นสุดสัปดาห์ที่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน ขณะที่นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับสัปดาห์การรายงานผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจ โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite เริ่มปรับฐาน และลดลงเกินกว่า 10% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมไปถึงดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ที่ร่วงลง ปิดที่ 32,417.59 จุด โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ความกังวลทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ที่สร้างความกังวลให้กับชาวอเมริกัน และอาจส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมที่ลงทุนในดัชนีเหล่านี้

ท้งนี้ แม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะตกต่ำ แต่หุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Amazon, Microsoft และ Apple กลับเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นของ Amazon เพิ่มขึ้นมากกว่า 6% เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเชิงบวกเกี่ยวกับรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และการคาดการณ์ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ Microsoft และ Apple ท่ามกลางผลดำเนินงานที่แย่ลงในหุ้นเทคโนโลยีบางตัว อย่าง Meta Platforms Inc, Tesla, Alphabet, Nvidia Corporation และ Netflix ที่ติดลบรายสัปดาห์

ในภาคส่วนอื่นๆ หุ้นบริษัท Ford Motor และ Exxon Mobil Corporation ปรับตัวลดลงเนื่องจากรายงานรายไตรมาสที่ติดลบและการคาดการณ์ประกอบการรายไตรมาส ขณะที่หุ้นของ Chevron Corporation ลดลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขรายไตรมาสและการเสนอซื้อราคา 53 พันล้านดอลลาร์ให้กับ Hess Corporation

อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ตลาดการเงินจับตามองจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ข้อมูลการจ้างงานในสหรัฐฯ และผลประกอบการจาก Apple ซึ่งอาจกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ผลการดำเนินงานของตลาดตราสารหนี้อาจมีบทบาทสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและข้อกังวลทางการคลัง ได้ผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 5% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 สร้างความท้าทายต่อตลาดหุ้น ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลว่า อัตราผลตอบแทนอาจเพิ่มขึ้นอีกหากเฟดแสดงจุดยืนแบบเข้มงวดในการประชุมนโยบายการเงินเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ตลาดฟิวเจอร์สชี้ถึงความเป็นไปได้อย่างมากที่เฟดอาจจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน และมีความเป็นไปได้เกือบ 80% ที่อัตราดอกเบี้ยจะยังคงทรงตัวในเดือนธันวาคม ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลักจะยังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบันจนถึงปี 2024 เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ทางด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน โดยเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการใช้จ่ายในครัวเรือนจากการซื้อยานยนต์และการเดินทาง โดยยังคงรักษาการเติบโตของการใช้จ่ายไว้ได้จนถึงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายที่แข็งแกร่งนี้คาดว่าจะลดลงในต้นปี 2024 จากเงินออมของประชาชนที่สะสมในช่วงการแพร่ระบาดหมดลง

ทั้งนี้ จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ มีการคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2024 ท่ามกลางการเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ 4.9% ในไตรมาสที่สาม และสัญญาณของตลาดแรงงานที่ร้อนแรง หรือความจำเป็นในการใช้นโยบายแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อาจนำไปสู่ความผันผวนที่มากขึ้น

นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง ได้สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุนมากขึ้น หลังจากสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทหารไปยังภูมิภาค โดยความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจนำไปสู่การใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามและการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ที่อาจผลักดันให้อัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังสูงขึ้นไปอีก รวมถึงอาจกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในพันธบัตร และอาจช่วยบรรเทาแรงหนุนของอัตราผลตอบแทนและลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ ได้

ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะเฝ้าจับตาดูตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค CB, การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตรของ ADP, PMI ภาคการผลิตของ ISM, ตำแหน่งงานว่างจาก JOLT และการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่การเผยแพร่รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนตุลาคมในวันศุกร์ หลังจากพบการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนกันยายน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะพบการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอีกเล็กน้อย โดยอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 3.8% และการเติบโตของค่าจ้างคาดว่าจะลดลงเหลือ 4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำหลังการแพร่ระบาด ขณะที่ในวันอังคาร นักลงุทนจะวิเคราะห์ข้อมูลต้นทุนการจ้างงานในไตรมาสที่สามเพื่อวัดแนวโน้มการเติบโตของค่าจ้างต่อไป

ด้วยเหตุนี้ หากพบปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มากขึ้น อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมคาดว่าจะยังคงถูกกดดันและทรงตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ได้ในช่วงนี้ โดยอาจพบแรงหนุนได้ หากรายงานผลประกอบการจากบริษัทใหญ่ๆ ดีกว่าที่คาด และอารมณ์เชิงบวกของนักลงทุนและผู้บริโภคในช่วงใกล้เทศกาล

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 32511.7, 32518.3, 32529.1

แนวรับสำคัญ : 32490.1, 32483.5, 32472.7                 

1H Outlook        

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

15Min Outlook                           

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 15Minที่มา: Investing.com              

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 32410.1 - 32490.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 32490.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32513.3 และ SL ที่ประมาณ 32370.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 32511.7 - 32591.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32850.0 และ SL ที่ประมาณ 32450.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 32511.7 - 32591.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 32511.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32485.1 และ SL ที่ประมาณ 32630.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 32410.1 - 32490.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32150.0 และ SL ที่ประมาณ 32551.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Oct 30, 2023 10:18AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 32456.9 32472.7 32485.1 32500.9 32513.3 32529.1 32541.5
Fibonacci 32472.7 32483.5 32490.1 32500.9 32511.7 32518.3 32529.1
Camarilla 32489.8 32492.4 32495 32500.9 32500.2 32502.8 32505.4
Woodie's 32455.3 32471.9 32483.5 32500.1 32511.7 32528.3 32539.9
DeMark's - - 32479 32497.8 32507.2 - -

Sources: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: Blog
รู้เท่าทันข่าว&สถานการณ์โลก: News
บทวิเคราะห์เชิงเทคนิคขั้นสูง: Analysis
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES