เศรษฐกิจของจีนยังสามารถเติบโตได้ดี

ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ หลังจากที่ธนาคารกลางจีนคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกลางที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวนท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มมากขึ้นกับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้เพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและรองรับกับเศรษฐกิจที่มีความท้าทายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ส่งแรงกดดันต่อการส่งออกของจีนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ค่าเงินหยวนยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจากความต้องการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed และส่วแรงกดดันต่อธนาคารกลางให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

ธนาคารประชาชนจีน (PBoC) คงอัตราดอกเบี้ยไว้เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันในการประชุมเดือนเมษายน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ธนาคารกลางกำลังรอประเมินผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าของสหรัฐฯ ก่อนที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยการคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ GDP เติบโตมากกว่าที่คาดไว้ที่ 5.4% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ท่ามกลางความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล

อัตราการว่างงานในจีนลดลงเหลือ 5.2% ในเดือนมีนาคม ลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 5.4% ในเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มแรงงานที่จดทะเบียนในภาคเกษตรมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 5% ในขณะที่อัตราการว่างงานจากการสำรวจในเมืองใหญ่ 31 แห่งอยู่ที่ 5.2% แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่ผ่อนคลายลงในตลาดแรงงาน ซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยตรง

Fitch Rating ปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลก โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 โดยเศรษฐกิจจะเติบโตต่ำกว่า 2% ในปีนี้ เนื่องจากความตึงเครียดด้านการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในขณะที่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง 0.4% สำหรับปีนี้ และลดการประมาณการการเติบโตของจีนและสหรัฐฯ ลง 0.5% ซึ่งคาดว่าการเติบโตของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงเหลือ 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปีนี้ ในขณะที่การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะลดลงต่ำกว่า 4% ในปีนี้และปีหน้า

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเรียกร้องให้เวียดนามช่วยรักษาห่วงโซ่อุปทานโลกท่ามกลางการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่จีนเผชิญกับภาษีนำเข้า 145% ของสหรัฐ ขณะที่เวียดนามพยายามหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า 46% ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม ในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Nhandan เตือนว่าสงครามการค้าและสงครามภาษีไม่มีผู้ชนะ โดยรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนสามารถเติบโตได้ ในขณะที่เวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่งออกไปยังสหรัฐ เป็นจำนวนมาก 

ธนาคารจีนขยายสินเชื่อใหม่มูลค่ากว่า 3.64 ล้านล้านหยวนในเดือนมีนาคม มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3 ล้านล้านหยวน เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่รุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ โดยการให้สินเชื่อแก่ครัวเรือน รวมถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 985,300 ล้านหยวน ฟื้นตัวจากการลดลง 389,100 ล้านหยวนในเดือนกุมภาพันธ์ และการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจพุ่งขึ้นเป็น 2.84 ล้านล้านหยวนจาก 1.04 ล้านล้านหยวน แสดงให้เห็นถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง