ถ้าหากฐานไม่มั่นคง แล้วยอดจะมั่นคงได้อย่างไร? เชื่อว่า คำพูดประโยคนี้น่าจะใช้ได้กับหลาย ๆ สถานการณ์ รวมถึงเรื่องการเงินด้วยเช่นกัน เพราะหนึ่งในวิกฤตการเงินที่รุนแรงที่สุดที่โลกต้องจารึกไว้อย่าง “วิกฤตซับไพร์ม หรือแฮมเบอร์เกอร์” ก็มาจากประโยคข้างต้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้บทเรียนครั้งสำคัญของอเมริกาที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลกพร้อมกันครับ
ทำความรู้จักวิกฤตซับไพร์ม
วิกฤตซับไพร์ม (Subprime Crisis) หรือบางครั้งเรียกว่า วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) เป็นวิกฤตทางการเงินของสหรัฐฯ ที่มีความรุนแรงมาก จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก และอาจรุนแรงที่สุดในรอบหลายร้อยปี โดยวิกฤตดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2008 จากการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ที่มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามนัด หรือที่เราเรียกกันว่า “ซับไพร์ม”
สาเหตุการเกิดวิกฤตซับไพร์ม
แม้ว่าข้างต้นจะอธิบายถึงสาเหตุคร่าว ๆ ไปแล้ว แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตดังกล่าวมาจากหลายภาคส่วน ซึ่งเราจะขอสรุปเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่เป็นสาเหตุที่แท้จริง
อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ช่วงปี 1990-2017
1) การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
หากย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ต้นเหตุที่แท้จริงเริ่มจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงปี 2001 ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยในขณะนั้นเป็นขาลง จาก 6.5% ในปี 2000 เป็น 1.75% ในปี 2002 ส่งผลให้ประชาชนกู้เงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรและอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น เพราะดอกเบี้ยถูกลง ขณะที่ราคาบ้านเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นช่องทางให้นักลงทุน นายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนสถาบันการเงินต่าง ๆ ฉกฉวยผลประโยชน์ได้
2) การบริหารจัดการสินเชื่อคุณภาพต่ำ
ด้วยราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่าเท่าตัวในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ทำให้มันกลายเป็นธุรกิจเก็งกำไรชนิดหนึ่ง เพราะคนจำนวนมากมองว่า อสังหาริมทรัพย์เป็น Safe Asset ที่น่าลงทุน อีกทั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ยังจัดอันดับให้ธุรกิจประเภทนี้เป็น AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ดังนั้น การซื้อขายบ้านจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สถาบันการเงินเริ่มเล็งเห็นถึงช่องทางทำกำไรจากการกินส่วนต่างที่สูงขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการในการพิจารณาสินเชื่อแก่ลูกค้าชั้นรอง (Subprime) ที่เครดิตต่ำกว่าเกณฑ์ มีประวัติการเงินไม่ค่อยดี และมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้หรือมีความเสี่ยงสูง แทนที่จะเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าชั้นดี (Prime) สุดท้ายแล้ว ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและคืนเงินที่กู้ไปได้ ทำให้ทิ้งการผ่อนไป ราคาอสังหาริมทรัพย์จึงเริ่มปรับตัวลง เกิดเป็นหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่างมหาศาลในที่สุด
การลงทุนใน MBS และ CDO
3) การเก็งกำไรของสถาบันการเงินและนักลงทุน
จากที่กล่าวไป ธุรกิจสินเชื่อค่อนข้างเฟื่องฟูมากเป็นพิเศษในยุคนี้ จนทำให้นักลงทุนหัวใสบางคนคิดค้นผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่อย่าง MBS (Mortgage-Backed Securities) และ CDO (Collateralized Debt Obligations) ซึ่งเป็นการเก็งกำไรจากการมัดรวมสินเชื่อในหมู่นักลงทุนรายใหญ่และสถาบันทางการเงิน ทำให้เมื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งล้มไปก็อาจจะฉุดบริษัทและตลาดหุ้น รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกดิ่งลงเหวตามไปด้วย
ส่วนที่เป็นสาเหตุรอง
สาเหตุข้างต้นถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุนให้เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือ